• Bike cafe Hatyai, Thailand
  • + 086 966 9936
  • bikethai@gmail.com

ปั่นไปกับ Velo Orange บนเกาะตะรุเตา

ถ้าถามว่าในบรรดาสถานที่ต่างๆ ที่ผมเคยไปปั่นจักรยานทัวริ่ง ชอบที่ไหนที่สุด คงต้องตอบว่า...ชอบทุกที่ ^__^ เพราะมันเป็นแบบนั้นจริงๆ แต่ละสถานที่มันมีเสน่ห์ในตัวมันเอง ภาคเหนือก็อีกแบบ อีสานก็อีกแบบ ต่างประเทศก็อีกแบบ ยุโรป เอเชีย ไทยแลนด์ มันก็ได้อารมณ์ต่างกัน ขึ้นอยู่กับว่าอยากเสพสมอารมณ์ไหน เอาโหด เอาชิลล์ เอาสนุกมันส์ๆ หรือเอาสบายๆ เอาที่สบายใจ

แต่มีอยู่ที่นึง ที่ผมอยากไปมาก นั่นคือการไปปั่นทัวริ่ง + แคมปิ้งริมทะเล ปาร์ตี้กันแบบสนุกๆ สรวลเสเฮฮากับพรรคพวก กับคนคอเดียวกัน จิบน้ำชาเย็นๆ หรือน้ำองุ่นหมัก แกล้มกับบาร์บีคิวหอมกรุ่น จะเป็นเนื้อซี่โครงย่าง หรือ หมึกย่างสดๆ หอยหวานๆ ปลาตัวโต จิ้มน้ำจิ้มแซ่บๆ ก็แล้วแต่ ... มันคงเป็นบรรยากาศที่ฟินสุดๆ สำหรับพวกเราชาวนักปั่นทัวริ่ง

เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสทดสอบเจ้าจักรยานทัวริ่งรุ่นที่ผมแอบหลงรักมานาน ด้วยรูปร่างหน้าตา หล่อเหลามาดเท่ เป็นทัวริ่งแนวใหม่ที่ผมสนใจในสไตล์ Touring Bikepacking นั่นคือ Piolet สุดเท่ จากแบรนด์อเมริกา Velo Orange เพราะนอกจากจะใช้ปั่นในชีวิตประจำวันได้ ทัวริ่งวันหยุดสุดสัปดาห์ก็เหมาะ ลุยป่าเอดเวนเจอร์ก็ใช่ จะมีอะไรเข้าทางไปกว่านี้อีก ผมก็เลยติดต่อไปทาง Bike Café ซึ่งเป็นตัวแทนจำหน่าย บอกว่าผมสนใจรุ่นนี้ ...ที่จริงผมเคยใช้เจ้า Pilolet ไปถ่ายทำรายการ ทำบทความท่องเที่ยวด้วยจักรยานมาแล้ว 2-3 ครั้ง ก็เลยค่อนข้างคุ้นเคยกันดีกับร้าน Bike Cafe ที่ใจดีและเป็นกันเอง ทีนี้พอสรุปได้ใจความว่า...งั้นไปลุยทดสอบออกทัวริ่งจริงๆ กันเลยดีกว่า สถานที่คือ “เกาะตะรุเตา จังหวัดสตูล” เกาะอันเป็นตำนานของไทย ที่ขึ้นชื่อเรื่องวิวทิวทัศน์งดงามและเต็มไปด้วยเรื่องราวในอดีต...แหม...มันช่างเข้าทางที่ผมอยากไปทัวริ่ง + แคมปิ้งปาร์ตี้ ริมทะเลอย่างที่ฝันไว้พอดี ^__^

เมื่อใจต้องการก็ไม่มีอะไรมาก !! คนพร้อม จักรยานพร้อม ก็ลุยเลย...กรุงเทพ-หาดใหญ่ แค่แป๊ปเดียว สัปดาห์ถัดมาผมก็โผล่หน้าไปยืนยิ้นอยู่ที่ร้าน Bike Café by BlackCoffee หาดใหญ่ เพื่อมุ่งหน้าสู่เกาะตะรุเตากับเจ้า Piolet ที่ผมหมายปอง จากอำเภอหาดใหญ่ไปท่าเรือปากบารา จังหวัดสตูล ระยะทางจิ๊บๆ 120 กิโลเมตร เราใช้เวลาแค่ 2 ชั่วโมงเพื่อที่จะลงเรือไปเกาะตะรุเตา

นั่งเรือเพลินๆ ยังไม่ทันอะไร ก็ถึงเกาะตะรุเตาแล้ว บ่ายๆ วันนั้นพวกเราก็จัดแจงเก็บสัมภาระเข้าบ้านพักของอุทยานที่จองไว้ กะว่าเดี๋ยวช่วงเย็นจะไปปั่นสำรวจอ่าวต่างๆ ที่มีอยู่หลายอ่าวบนเกาะ ที่จริงใครชอบบรรยากาศทัวริ่งแบบดิบๆ จะนอนเต้นท์ริมทะเลเลยก็ได้ เพราะห้องน้ำห้องท่า ก็อยู่ใกล้ๆ นั่นเอง ที่กางเต้นท์มีเหลือเฟือ ใครชอบมุมไหน เชิญเลือกกันได้ตามอัธยาศัย



“อ่าวเมาะและ” ใช่เลย !! วิวแบบนี้ เวลาบ่ายสี่โมงครึ่งหลังจากที่ได้อาบน้ำอาบท่าชื่นใจ จุดหมายแรกที่เราจะปั่นไปเที่ยวชมคือ “อ่าวเมาะและ” อ่าวที่ต้องร้องบอกเลยว่า “มันใช่เลย” ต้องแบบนี้สิ วิวสำหรับการพักผ่อนจริงๆ ได้อยู่กับธรรมชาติสวยๆ ชายหาดงามๆ ไม่มีฉิ่งฉับทัวร์ หรือนักท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่มาเอะอะโวยวายอยู่ใกล้ๆ ด้วยภาพที่เห็นตรงหน้าคือ ชายหาดขาวสะอาดที่ทอดยาวไปไกล น้ำทะเลสีฟ้าเข้ม มีต้นไม้ใหญ่น้อยและทิวมะพร้าวเรียงรายอยู่ชายหาด ถึงแม้ว่าจะมีบังกะโลหลังเล็กๆ อยู่ 6-7 หลัง แต่ก็ดูกลมกลืนกับธรรมชาติมากๆ พอพวกเราได้เข้าไปถามร้านค้าของอุทยานที่มีอยู่ร้านเดียว ก็ได้ความว่า “หาดนี้ไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวมาพักสักเท่าไหร่ ส่วนใหญ่เป็นฝรั่งนักท่องเที่ยวต่างชาติ มาอยู่กันทีเป็นอาทิตย์ แถมยังเป็นจุดชมวิวพระอาทิตย์ตกที่สวยงามอีกด้วย”

“อ่าวตะโละวาว” อ่าวที่ต้องร้องว้าวออกมาดังๆ บนถนนที่สวยงามร่มรื่น ให้บรรยากาศแบบดิบๆ แต่สนุกตื่นเต้น ตลอดระยะทาง 12 กิโลเมตร จากที่ทำการอุทยานหรืออ่าวพันเตมะละกา ก็คือ “อ่าวตะโละวาว” อ่าวที่ต้องร้องว้าวดังๆ เพราะภาพที่อยู่ตรงหน้า คือหินซีกขนาดใหญ่ตั้งเด่นเป็นสง่าเป็นสัญลักษณ์ของอ่าวนี้ เป็นมนต์สะกด (อีกแล้ว) ที่ทำให้เราต้องหยุดพักดื่มด่ำกับธรรมชาติที่งดงามเหนือคำบรรยายจริงๆ และที่สำคัญคือ ถัดเข้าไปไม่ไกลจากอ่าวตะโละวาว ก็คือพื้นที่ประวัติศาสตร์ เป็นที่สถานที่กักกันนักโทษการเมือง ในระหว่างปี พ.ศ. 2480 - 2490 มีเรื่องราวในอดีตและความทรงจำเก่าๆ บนพื้นที่แห่งนี้มากมาย แต่ปัจจุบันเราพบเห็นแต่ ซากปรักหักพังของสิ่งก่อสร้างต่างๆ และทางอุทยานได้จัดทำเป็นเส้นทางศึกษาธรรมชาติไว้ให้นักท่องเที่ยวได้รำลึกถึงอดีต

แม้ว่าการปั่นทัวริ่งบนเกาะเตารุเตาครั้งนี้ จะเป็นแค่น้ำจิ้ม สำหรับสำรวจทริปท่องเที่ยวกับ Velo Orange Thailand ซึ่งผมเชื่อว่าครั้งหน้าและทริปต่อไปจะต้องเป็นทริปที่สนุกสุดๆ และมีความสุขอย่างแน่นอน เพราะทริปแรกยังขนาดนี้ ทริปหน้าจะขนาดไหน ติดตามชมกันนะครับ หรือจะไปด้วยกันไหม

-->